Header Ads

13 ก.พ. 2446 วันลงนามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส รศ.122

ฝรั่งเศสได้ขยายอำนาจมาทางตะวันออกของแหลมอินโดจีน จนครอบครองญวนทั้งประเทศ รวมทั้งเขมรส่วนนอกทั้งหมด แต่ความต้องการของฝรั่งเศสนั้น ต้องการที่จะครอบครองดินแดนลุ่มแม่น้ำโขงทั้งหด ซึ่งมีดินแดนบางส่วนอยู่ใต้การครอบครองของไทย ดังนั้น จึงสร้างปัญหาให้กับประเทศไทยเรื่อยมา โดยเฉพาะความพยายามที่จะแทรบแซงในดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงของไทย ในระยะแรกได้ใช้วิธีการทูต แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ จึงให้เรือปืนข่มขู่ไทยที่บริเวรปากแม่น้ำ และในที่สุดก็นำไปสู่ "วิกฤตกาล ร.ศ. ๑๑๒" เมื่อวันที่ 13 กรกฏาคม 2436 ซึ่งฝ่ายไทยยอมจำนนและทำสัญญาสงบศึกกับฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2436

ตามสัญญาและอนุสัญญาฉบับลงวันที่ 3 ตุลาคม 2436 นี้ นอกจากไทยจะต้องเสียดินแดนริมฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และค่าปรับเป็นจำนวนมากแล้ว ฝรั่งเศสยังได้ยึดจันทบุรีไว้เป็นหลักค้ำประกัน ตามสัญญาข้อ 6 ระบุว่า "ฝรั่งเศสจะยึดจันทบุรีไว้จนกว่าไทยจะปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าวครบถ้วน และจนกว่าจะเกิดความสงบเรียบร้อยทั้งฝั่งซ้ายและขวาแม่น้ำโขงระยะ 25 กิโลเมตร"

การยึดครองจันทบุรีของฝรั่งเศสนั้น มิได้ยึดครองไว้ทั้งหมด เพียงแต่ยึดบริเวณที่ตั้งของค่ายทหารในเมืองจันทบุรีและค่ายทหารที่ปากน้ำแหลมสิงห์ ตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2436 เป็นต้นมาจนกระทั้งในวันที่ 8 มกราคม 2447 ภายหลังการลงนามในอนุสัญญาฉบับลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2446 



13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2446 ไทยทำสัญญาการปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาและเมืองหลวงพระบางของฝรั่งเศส โดย มหาอำมาตย์เอก พระยาสุริยานุวัตร (เกิด บุนนาค) อัครราชทูตไทย ประจำฝรั่งเศส ได้รับมอบอำนาจจาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ให้เป็นผู้เจรจาและลงนามกับฝรั่งเศส ในอนุสัญญาไทย-ฝรั่งเศส ส่วนฝ่ายฝรั่งเศส คือ เตโอฟิล เดกาสเซ (Théophile Delcassé) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ การเจรจามีขึ้น ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ร.ศ. 122 (ตรงกับ ค.ศ. 1904 และ พ.ศ. 2446) และลงลายมือชื่อกันในอีกสองวันถัดมา

โดยไทยยอมยกดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขง แลกเปลี่ยนกับการให้ฝรั่งเศสถอนกำลังออกจาก จ. จันทบุรี ซึ่งฝรั่งเศสยึดครองไว้ถึง 10 ปี ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักในการทำสัญญาครั้งนี้ ผลของสนธิสัญญาฉบับนี้ ฝรั่งเศสจึงถอนทหารออกจากจันทบุรี แต่ไปยึดตราด, ด่านซ้าย และหมู่เกาะต่าง ๆ  แทน ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2447 แต่เป็นการปกครองดินแดนเพีงบางส่วนเท่านั้น ตามพิธีสารฉบับลงวันที่ 29 มิถุนายน 2447 ฝรั่งเศสได้เข้าปกครองตราดจนถึงวันที่ 6 กรกฏาคม 2450 จึงถอนทหารออกไป หลังจากไทยทำสนธิสัญญาฉบับใหม่ ลงวันที่ 23 มีนาคม 2450 แลกเปลี่ยนพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ กับด่านซ้ายและตราด รวมถึงหมู่เกาะที่อยู่ภายใต้แหลงลิง (ตำบลบางปิด อำเภอแหลมงอกปัจจุบัน) 

อย่างไรก็ดีไทยไม่ได้รับคืนดินแดนทั้งหมด เพราะเมืองประจันตครีรีเขตร (เกาะกง) ไม่ได้ถูกกล่าวถึงในสนธิสัญญา รวมเวลาที่ตราดอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส ประมาณ 3 ปี



สนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส ร.ศ. 122 (Franco–Siamese Treaty of 1904; or: Traité français–siamois de 1904) เป็น อนุสัญญา (convention) หรือที่ในสมัยนั้นเรียกว่า "สัญญาน้อย" ระหว่าง  ราชอาณาจักรสยาม (ต่อมาคือ ประเทศไทย) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ กับสาธารณรัฐฝรั่งเศส ในสมัยของประธานาธิบดีเอมีล ฟรังซัวส์ ลูแบ (Émile François Loubet) มีเนื้อหาสำคัญเป็นการกำหนดเขตแดนระหว่างราชอาณาจักรสยามกับดินแดนใกล้เคียงซึ่งตกเป็นเมืองขึ้นของสาธารณรัฐฝรั่งเศสแล้ว กับทั้งยังให้สิทธิสภาพนอกอาณาเขตแก่ชาวฝรั่งเศสหรือผู้อยู่ในบังคับฝรั่งเศสด้วย


การกำหนดเขตแดนระหว่างประเทศสยามกับประเทศกัมพูชา

เนื้อหาสำคัญของสนธิสัญญานี้ 

ข้อ 1 เป็นการกำหนดเขตแดนระหว่างประเทศสยามกับประเทศกัมพูชาซึ่งสมัยนั้นเป็นรัฐอารักขา (protectorate) ของประเทศฝรั่งเศส โดยให้ใช้สันปันน้ำ (watershed) หรือที่สมัยนั้นเรียกว่า "ภูเขาปันน้ำ" ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเขาบรรทัดหรือที่ในภาษากัมพูชาเรียก "พนมดงรัก" (Pnom Dangrek) เป็นเส้นเขตแดน โดยกำหนดว่า

"เขตแดนในระหว่างกรุงสยามกับกรุงกัมพูชานั้น ตั้งต้นแต่ปากคลองสดุงโรลูออสข้างฝั่งซ้ายทะเลสาบ เป็นเส้นเขตแดนตรงทิศตะวันออก ไปจนบรรจบถึงคลองกะพงจาม ตั้งแต่ที่นี้ต่อไป เขตแดนเป็นเส้นตรงทิศเหนือขึ้นไปจนบรรจบถึงภูเขาพนมดงรัก (คือ ภูเขาบรรทัด) ต่อนั้นไป เขตแดนเนื่องไปตามแนวยอดภูเขาปันน้ำในระหว่างดินแดนน้ำตกน้ำแสนแลดินแดนน้ำตกแม่โขงฝ่ายหนึ่ง กับดินแดนน้ำตกน้ำมูนอีกฝ่ายหนึ่ง จนบรรจบถึงภูเขาผาด่าง แล้วต่อเนื่องไปข้างทิศตะวันออกตามแนวยอดภูเขานี้จนบรรจบถึงแม่โขง ตั้งแต่ที่บรรจบนี้ขึ้นไปแม่โขง เป็นเขตแดนของกรุงสยามตามความข้อ 1 ในหนังสือสัญญาใหญ่ ณ วันที่ 3 ตุลาคม รัตนโกสินทรศก 112"

อนึ่ง ข้อ 3 ว่า ในการกำหนดเขตแดนตามข้อ 1 ให้ภาคีทั้งสองฝ่ายตั้ง "คณะกรรมาธิการร่วม" (Joint Commission) หรือที่ในสมัยนั้นเรียก "ข้าหลวงร่วม" ไปร่วมกันปักปันเขตแดนตามหลักเกณฑ์ที่ระบุไว้ในข้อ 1 นั้นเอง โดยการตั้งคณะกรรมาธิการร่วมนี้ ให้รีบดำเนินการภายในสี่เดือนนับแต่สนธิสัญญามีผลใช้บังคับ

ข้อ 5 ยังระบุว่า เมื่อกระบวนการปักปันเขตแดนเสร็จสิ้นแล้ว ฝ่ายประเทศฝรั่งเศสจะได้สั่งให้ถอนกองทหารของตนที่เข้าประจำการในจังหวัดจันทบุรีโดยอาศัยอำนาจตามสนธิสัญญา ลงวันที่ 2 ตุลาคม ร.ศ. 112 นั้น ออกจากจังหวัดดังกล่าวทันที


การสละอำนาจอธิปไตยเหนือประเทศลาว

ในข้อ 4 แห่งสนธิสัญญาดังกล่าว รัฐบาลสยามยังยอมสละอำนาจอธิปไตยเหนือประเทศลาวให้แก่ประเทศฝรั่งเศส นอกจากนี้ ข้อ 2 แห่งสนธิสัญญา ยังกำหนดเขตแดนระหว่างประเทศสยามกับประเทศลาวด้วย ว่า

"ฝ่ายเขตแดนในระหว่างเมืองหลวงพระบางข้างฝั่งขวาแม่น้ำโขง แลเมืองพิชัย กับเมืองน่านนั้น เขตแดนตั้งต้นแต่ปากน้ำเฮียงที่แยกจากแม่โขง เนื่องไปตามกลางลำน้ำแม่เฮียง จนถึงที่แยกปากน้ำตาง เลยขึ้นไปตามลำน้ำตางจนบรรจบถึงยอดภูเขาปันน้ำในระหว่างดินแดนน้ำตกแม่โขง แลดินแดนน้ำตกแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงที่แห่งหนึ่งที่ภูเขาแดนดิน ตั้งแต่ที่นี้ เขตแดนต่อเนื่องขึ้นไปทางทิศเหนือตามแนวยอดเขาปันน้ำในระหว่างดินแดนน้ำตกแม่โขงแลดินแดนน้ำตกแม่น้ำเจ้าพระยา จนบรรจบถึงปลายน้ำควบแล้ว เขตต่อแดนเนื่องไปตามลำน้ำควบจนบรรจบกับแม่น้ำโขง" 

อื่น ๆ

ข้อ 12 แห่งสนธิสัญญา ว่า ประเทศสยามให้สิทธิสภาพนอกอาณาเขตแก่ประเทศฝรั่งเศส โดยกำหนดว่า คนในบังคับฝรั่งเศสมีสิทธิที่จะไม่ขึ้นศาลสยามได้ทั้งในคดีแพ่งและคดีอาญา

ส่วนเนื้อหาอื่น ๆ เป็นการตกลงกันว่าสยามกับฝรั่งเศสจะร่วมมือกันพัฒนาการคมนาคมและการสื่อสารในบริเวณประเทศลาวและประเทศกัมพูชาซึ่งติดต่อกับประเทศสยาม
  • ประเทศสยามจะอุทิศดินแดนบางส่วนในประเทศให้เป็นที่ตั้งที่ดำเนินงานของฝ่ายฝรั่งเศส
  • กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการเข้าเป็นคนในบังคับของประเทศฝรั่งเศส
  • ทหารไทยที่จะเข้าไปในบริเวณแม่น้ำโขงต้องเป็นผู้ถือสัญชาติไทยเท่านั้น ยกเว้นตำรวจภูธรของไทยที่มีผู้บังคับบัญชาเป็นชาวเดนมาร์ก ถ้าสยามจะใช้คนสัญชาติอื่น ต้องแจ้งให้ฝรั่งเศสทราบก่อน
  • ในมณฑลบูรพา สยามจะจัดให้มีแต่พลตระเวนเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยเท่านั้น
  • สยามอนุญาตให้ฝรั่งเศสใช้ที่ดินบริเวณ เชียงคาน หนองคาย เมืองสนัยบุรี ปากแม่น้ำคาน มุกดาหาร เมืองเขมราฐ ปากแม่น้ำมูล ตามรายละเอียดในสนธิสัญญา พ.ศ. 2436
  • ถ้าข้อความทั้งสองภาษามีความขัดแย้งกัน ให้ใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก
สนธิสัญญานี้มีผลต่อการกำหนดเขตแดนระหว่างไทยกับลาวในปัจจุบัน และเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาบางส่วน โดยเมื่อสยามยกมณฑลบูรพาให้ฝรั่งเศสใน พ.ศ. 2449 ได้มีสนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส พ.ศ. 2449 เพื่อกำหนดเขตแดนระหว่างไทย-กับกัมพูชาบริเวณมณฑลบูรพาเดิมใหม่[ต้องการอ้างอิง] และยังได้รับการอ้างถึงในคำพิพากษาศาลโลกในกรณีพิพาทปราสาทพระวิหารไทย-กัมพูชา เมื่อ พ.ศ. 2505



ไม่มีความคิดเห็น

รูปภาพธีมโดย Flashworks. ขับเคลื่อนโดย Blogger.